วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

วิทยาศาสตร์การกีฬา มมส.





ประวัติความเป็นมาของมวยไทย

ประวัติความเป็นมาของมวยไทย


มวยไทยเริ่มขึ้นในสมัยไม่ปรากฏ และไม่มีหนังสือเล่มใดเขียนไว้ว่า จะเกิดขึ้นในสมัยใด แต่เท่าที่ได้ปรากฏนั้น มวยไทย ได้เกิดขึ้นมานานแล้ว และอาจเกิดขึ้นมาพร้อม ๆ กับชาติไทย เพราะมวยไทยนั้นเป็นศิลปประจำชาติไทยเรา จริง ๆ ยากที่ ชาติอื่นจะลอกเลียนแบบได้
มวยไทยในสมัยก่อนเท่าที่ทราบ จะมีการฝึกฝนอยู่ในบรรดาหมู่ทหาร เพราะในสมัยก่อน ไทยเราได้มีการรบพุ่ง และ สู้รบกันกับ ประเทศเพื่อนบ้านบ่อยครั้ง การสู้รบในสมัยนั้นยังไม่มีปืน จะสู้กันแต่ดาบสองมือ และมือเดียว เมื่อเป็นเช่นนี้ การรบพุ่ง ก็มีการรบ ประชิดตัว คนไทยเห็นว่าในสมัยนั้น การรบด้วยดาบ เป็นการรบพุ่งที่ประชิดตัวมากเกินไป บางครั้ง คู่ต่อสู้อาจเข้ามา ฟันเราได้ง่าย คนไทยจึงได้ฝึกหัด การถีบและเตะคู่ต่อสู้เอาไว้ เพื่อคู่ต่อสู้จะได้เสียหลัก แล้วเราจะได้ เลือกฟันง่ายขึ้น ทำให้คู่ต่อสู้แพ้ได้
ต่อมาเมื่อในหมู่ทหารได้มีการฝึกถีบเตะแล้ว ก็เกิดมีผู้คิดว่าทำอย่างไรจึงจะใช้การถีบเตะนั้น มาเป็นศิลปสำหรับ การต่อสู้ ด้วยมือได้ จึงต้องให้มีผู้ที่จะคิดจะฝึกหัดการต่อสู้ป้องกันตัว สำหรับการใช้แสดงเวลามีงานเทศกาลต่าง ๆ ไว้อวดชาวบ้าน และเป็นของแปลก สำหรับชาวบ้าน เมื่อเป็นเช่นนี้ นานเข้า ชาวบ้านหรือคนไทย ได้เห็นการถีบเตะ แพร่หลาย และบ่อยครั้ง เข้า จึงทำให้ชาวบ้านมีการ ฝึกหัดมวยไทยกันมาก จนถึงกับตั้งเป็นสำนักฝึกกันมากมาย แต่สำหรับที่ฝึกมวยไทยนั้น ก็ต้อง เป็นสำนักดาบที่มีชื่อดีมาก่อน และ มีอาจารย์ดีไว้ฝึกสอน ดังนั้นมวยไทยในสมัยนั้น จึงฝึกเพื่อความหมาย ๒ อย่างคือ
๑. เพื่อไว้สำหรับสู้รบกับข้าศึก
๒. เพื่อไว้ต่อสู้ป้องกันตัว
ในสมัยนั้น ใครมีเพลงดาบดี และเก่งกาจทางรบพุ่งนั้น จะต้องเก่งทางมวยไทยด้วยเพราะเวลารบพุ่งนั้น ต้องอาศัย มวยไทย เข้าช่วย ดังนั้นวิชามวยไทยในสมัยนั้นจึงมุ่งหมายที่จะฝึกฝนเพลงดาบและวิชามวยไทยไปพร้อม ๆ กัน เพื่อที่จะรับใช้ประเทศชาติด้วยการ เป็นทหาร ได้เป็นอย่างดี
 แต่เมื่อพ้นจากหน้าสงคราม ก็จะมีการชกมวยกัน เพื่อความสนุกสนาน และมีการพนันขันต่อกัน ระหว่างนักมวยที่เก่งจาก หมู่บ้านหนึ่ง กับนักมวยที่เก่งจากอีกหมู่บ้านหนึ่ง มาชกกันในหน้าที่มีงานเทศกาล หรือเกิดมีการท้าทายกันขึ้น และมีการ พนันขันต่อ มวยในสมัยนั้น ชกกันด้วยหมัดเปล่า ๆ ยังไม่มีการคาดเชือก เช่น สมัยอยุธยาตอนต้น ในสมัยนั้น คนไทย ที่ทำชื่อเสียง ให้กับประเทศในวิชามวยไทย มากที่สุด คือ นายขนมต้ม ซึ่งได้ใช้วิชามวยไทยต่อสู้พม่า ถึง ๑๐ คน และพม่าก็ได้ แพ้นายขนมต้มหมดทุกคน จนถึงกับกษัตริย์พม่า พูดว่า "คนไทยถึงแม้ว่าจะไม่มีดาบ แม้แต่มือเปล่า ก็ยังมีพิษสงรอบตัว" นายขนมต้มจึงเปรียบเสมือนผู้เป็นบิดาของวิชามวยไทย เพราะทำให้คนไทยมีชื่อเสียง เกี่ยวกับ วิชามวยไทย เป็นอันมากในสมัยนั้น และชื่อเสียงก็ได้เลื่องลือมาจนถึงกับปัจจุบันนี้
 ในสมัยต่อมา มวยไทยก็ยังฝึกฝนคู่กับการฝึกเพลงดาบอยู่ และยังฝึกและใช้เพื่อการทำสงคราม และฝึกฝนเพื่อการ ต่อสู้ ป้องกันตัว บางทีก็ฝึกเพื่อชกในงานเทศกาลต่าง ๆ ในสมัยอยุธยาตอนปลาย พระมหากษัตริย์ของไทยบาง พระองค์ มีฝีมือ ในทางมวยไทย อยู่มาก เช่น พระเจ้าเสือ หรือขุนหลวงสรศักดิ์ ซึ่งได้หนีออกจากพระราชวัง ไปชกมวยกับชาวบ้าน และ ชกชนะด้วย ต่อมาประชาชน ทราบและเห็นว่า พระองค์ก็เป็นผู้มีฝีมือในวิชามวยไทย อยู่ในขั้นดีเยี่ยม ในสมัยต่อมา ผู้ที่มี ฝีมือในทางมวยไทยก็มีมาก เช่น พระเจ้าตากสิน วิชามวยไทยได้ยั่งยืนมาจนถึงสมัยปัจจุบัน และในสมัยอยุธยาตอนปลายนี้ มวยไทยได้ชกกันด้วยการคาดเชือก คือใช้เชือก เป็นผ้าพันมือ บางครั้งการชกก็อาจถึงตาย เพราะเชือก ที่คาดมือนั้น บางครั้งก็ใช้น้ำมันชุบเศษแล้วละเอียด ชกถูกตรงไหน ก็เป็นแผลตรงนั้น จะเห็นได้ว่ามวยไทยในสมัยนั้น มีอันตราย เป็นอันมาก
ต่อมาในปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา มวยไทยก็มีการฝึกตามสำนักฝึกต่าง ๆ และมีการฝึกกันอย่างกว้างขวาง จนถึงสมัย รัตนโกสินทร์ ก็มีเวทีมวยที่จัดให้มีการแข่งขันกันอย่างสนุกสนาน เช่น เวทีสวนเจ้าเชษฐ และเวทีสวนกุหลาบ ซึ่งการ ชกมวยในสมัยนี้ ก็ยังมีการคาดเชือกกันอยู่ จนตอนหลัง นวมได้เข้ามาแพร่หลายในประเทศไทย การชกกันในสมัยหลัง ๆ จึงได้สวมนวมชก แต่การชกกันก็ยังเหมือนเดิม คือ ยังใช้การ ถีบ ชก ศอก และเข่า ดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ ฯ

สโมสรลิเวอร์พลู

กรรมการฟุตบอล

กายภาพบำบัด คืออะไร

กายภาพบำบัด (Physical Therapy)

         คลินิกกายภาพบำบัด ให้คำปรึกษา ให้บริการทางกายภาพบำบัดเพื่อรักษาและฟื้นฟูอาการของผู้ป่วยหรือผู้พิการให้กลับสู่ภาวะปกติหรือใกล้เคียงภาวะปกติให้มากที่สุด ตามศักยภาพของแต่ละบุคคล โดยเป็นการฝึกเพื่อให้มีกำลังกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น ป้องกันการเกิดข้อยึดติด แก้ไขความผิดปกติที่เกิดจากภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เป็นต้น โดยมุ่งเน้นให้ผู้ป่วย / ผู้พิการ / ผู้ดูแลและญาติเข้าใจถึงภาวะการดำเนินโรค วิธีการดูแล และการฝึกอย่างถูกวิธี ตลอดจนสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเป็นปกติที่สุด
โรคที่สามารถใช้การรักษาทางกายภาพบำบัดได้แก่
1.             ปัญหาโรคกระดูกและข้อเช่น ปวดหลัง ปวดคอ ข้อติดแข็ง กล้ามเนื้อลีบเล็ก กระดูกทับเส้นประสาท ข้อเสื่อม ข้ออักเสบ อุบัติเหตุต่างๆ เป็นต้น
2.             ปัญหาโรคทางระบบประสาทเช่น อัมพาตครึ่งซีก อัมพาตครึ่งท่อน อัมพาตทั้งตัว
3.             ปัญหาโรคทางระบบหายใจและหัวใจและหลอดเลือด
4.             ปัญหาการพัฒนาการผิดปกติในเด็ก
คลินิกกายภาพบำบัดให้การรักษาโดยวิธีการทางกายภาพบำบัดต่างๆ เช่น
1.             รักษาโดยคลื่นไฟฟ้าความร้อน (diathermy)
2.             รักษาโดยคลื่นเหนือเสียง (Ultrasound)
3.             การดึง (Traction)
4.             การประคบความร้อน (Hot pack)
5.             การดัดและดึง (Joint mobilization)
6.             การนวด (Massage)
7.             การกระตุ้นด้วยกระแสไฟฟ้า (Electrical Stimulation)
8.             การออกกำลังเพิ่มช่วงการเคลื่อนไหว (ROM exercise)
9.             การออกกำลังเพิ่มความแข็งแรง (Strengthening exercise)
10.      การออกกำลังกายแบบทำให้ (Passive exercise)
11.      การฝึกเดิน (Gait training)
12.      การฝึกกิจวัตรประจำวัน (ADL training)
การให้บริการ
         ผู้ป่วยใหม่จำเป็นต้องได้รับการตรวจรักษาจากแพทย์ เพื่อประเมินสภาวะคนไข้ และพิจารณาสั่งการรักษาทางกายภาพบำบัด โดยจะมีนักกายภาพบำบัดที่มีประสบการณ์ และเชี่ยวชาญในการดูแลผู้ป่วย ทำการกายภาพบำบัดและฟื้นฟูสภาพผู้ป่วยต่อไป โดยในหน่วยกายภาพบำบัดจะมีเครื่องมือทางกายภาพบำบัด บุคลากรที่พร้อมดูแลตลอด

วิธีการนวดแผนไทน

วิธีการนวดแผนไทย
การนวดแผนไทย ทำให้สุขภาพดี ผ่อนคลาย ซึ่งแบ่งออกได้หลายประเภท ได้แก่

1.
การกด
เป็นการใช้น้ำหนักกดบนเส้นพลังงานบนกล้ามเนื้อโดยใช้นิ้วหัวแม่มือ นิ้วโป้งกดนวด เป็นวงกลม , ฝ่ามือกดเป็นวงกลม และกดเส้นพลังงานและ ใช้น้ำหนักตัวกด นิ้วและหัวแม่มือ หัวเข่า ฝ่าเท้า ทำการยืดเส้น ทำให้หลอดเลือดขยาย การไหลเวียนของเลือด ระบบประสาร การทำงานของอวัยวะต่างๆดีขึ้น

2.
การบีบ
เป็นการใช้น้ำหนัก บีบกล้ามเนื้อให้เต็มฝ่ามือเข้าหากันโดยการออกแรง สามารถ ใช้นิ้วหัวแม่มือช่วยหรือการประสานมือเพือเพ่ิมการออกแรง เป็นการเพิ่มการหมุนเวียนของเลือด ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ

3.
การทุบ/ตบ/สับ
ใช้มือและกำปั้นทุบกล้ามเนื้อเบาๆเป็นการผ่อนคลายการตึงของกล้ามเนื้อและให้เลือดหมุนเวียนดีขึ้นและเป็นการช่วยขจัดของเสียออกจาก ร่างกาย

4.
การคลึง
เป็นการใช้น้ำหนักกดคลึงบริเวณกล้ามเนื้อโดยการหมุนแขนให้กล้ามเนื้้อเคลื่่อนหรือคลึงเป็นวงกลม ใช้แรงมากกว่าการใช้ข้อศอก

5.
การถู
โดยใช้น้ำหนักนวดถูไปมา หรือวนไปมาเป็นวงกลม บนกล้ามเนื้อเพื่อช่วยผ่อนคลายยอาการปวดเมื่อยเฉพาะจุด หรือตามข้อต่อต่างๆ

6.การหมุน
โดยการออกแรงหมุนข้อต่อกระดูกวนเป็นวงกลม ช่วยให้การเคลื่อนไหวของข้อต่อทำงานดีขึ้น ผ่อนคลาย

7.
การกลิ้ง
เป็นการใช้ข้อศอกและแขนท่อนล่าง กดแรงๆในกล้ามเนื้อมัดใหญ่ๆ เช่นต้นขา

8.
การสั่น/เขย่า
ใช้มือเขย่าขาหรือแขนของผู้ถูกนวด เพื่อช่วยทำให้การหมุนเวียนของเลือดดีขึ้น ผ่อนคลายกล้ามเนื้อไปในตัว

9.
การบิด
ลักษณะคล้ายการหมุน แต่เป็นการออกแรงบิดกล้ามเนื้อกับข้อต่อให้ ยืดขยายออกไปในแนวทแยง ทำให้กล้ามเนื้อยืด

10.
การลั่นข้อต่อ
เป็นการออกแรงยืดข้อต่อให้เกิดเสียงดังลั่น ทำให้การเคลื่อนไหวของข้อต่อทำงานดีขึ้น

11.
การยืดดัดตัว
โดยใช้ฝ่าเท้า เป็นการออกแรงยืดกล้ามเนื้อข้อต่อให้ยืดขยายออกไปทางยาว ช่วยให้กล้ามเนื้อ เส้นเอ็นยืดคลายตัว

12.
การหยุดการไหลเวียนของเลือด
ใช้ฝ่ามือกดที่จุดชีพจรที่โคนขาเพื่อหยุดการไหลเวียนของเลือดชั่วขณะกดไว้ประมาณครึ่่งถึง1นาทีแล้วค่อยๆปล่อยช้าเพื่อให้เลือด กลับหมุนเวียนดีขื้น


นวดแผนไทยมีประโยดอย่างไร

1. ด้านสุขภาพ ผู้ได้รับการนวดจะได้ผลทั้งร่างกายและจิตใจ ผลทางกายคือการนวดทำให้เกิด อาการไหลเวียนของเลือดลมดีขึ้นช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ผังผืด ช่วยการทำงานของข้อต่อดีขึ้นและใช้อายุการใช้งานยาวนนานขึ้น กระตุ้นระบบประสาท การตื่นตัว ตอบสอนอง ต่อสภาพแวดล้อมดีขึ้นและยังทำให้ทำงานมมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และยังเป็นการป้องกันและบรรเทาอาการเคล็ดขัดยอกกล้ามเนื้อและข้อต่อต่างๆ เช่น ปวดหลัง ปวดไหล่ ปวดศีรษะ หลังตึง ข้อแพลง โรค อัมพฤตและอื่น ๆ ทำให้รู้สึกสดชื่น แจ่มใส ผ่อนคลายจิตใจ

2. ด้านสังคม หากเป็นการนวดของคนในครอบครัว หรือสังคม มีส่วนสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ทำให้เกิดความเข้าใจ ความเอื้ออาทรรักใคร่ ในระหว่างการนวดมีการพูดคุย ช่วยผ่อนคลายลง นับเป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์ในครอบครัว และ สังคมอีกด้านหนึ่ง

การนวดเป็นศิลปะของการสัมผัสที่สร้างความรู้สึกอบอุ่น ผ่อนคลาย ทำให้เรารู้สึกสดชื่น คลายความเมื่อยล้า ทั้งร่างกายและจิตใจ


การนวดแผนไทย ไ้ด้รับการสืบทอดกันมานาน ซึ่งถือเป็นศาสตร์และศิลป์ ช่วยในเรื่อง สุขภาพของคนไทย แม้ว่าความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอันทันสมัยของการแพทย์ แผนปัจจุบัน จะมีบทบาทสำคัญ ในการดูแลสุขภาพของคนทั่วโลก แต่หลายคนก็ยัง เสาะแสวงหาทางเลือกอื่น ในการดูแลสุขภาพของตนเอง ด้วยเหตุผลแตกต่างกัน การ แพทย์แผนไทย เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง สำหรับการดุแลสุขภาพ และได้รับความนิยม มากขึ้นเรื่อย ๆ

ปัจจุบันมีการใช้ยาแก้ปวด และยากล่อมประสาทหายชนิด และมีผลแทรกซ้อนจาก ยาแก้ปวดบางชนิดค่อนข้างรุนแรง เช่น ทำให้ปวดท้อง เกิดแผลในกระเพาะอาหาร อาเจียนเป็นเลือด

จากงานวิจัยที่สนับสนุนว่าการนวดแผนไทย สามารถช่วยบรรเทาอาการปวด อันมีประโยชน์ คือ

1. ด้านสุขภาพ ผู้ได้รับการนวดจะได้ผลทั้งร่างกายและจิตใจ ผลทางกายคือการนวดทำให้เกิด อาการไหลเวียนของเลือดลมดีขึ้นช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ผังผืด ช่วยการทำงานของข้อต่อดีขึ้นและใช้อายุการใช้งานยาวนนานขึ้น กระตุ้นระบบประสาท การตื่นตัว ตอบสอนอง ต่อสภาพแวดล้อมดีขึ้นและยังทำให้ทำงานมมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และยังเป็นการป้องกันและบรรเทาอาการเคล็ดขัดยอกกล้ามเนื้อและข้อต่อต่างๆ เช่น ปวดหลัง ปวดไหล่ ปวดศีรษะ หลังตึง ข้อแพลง โรค อัมพฤตและอื่น ๆ ทำให้รู้สึกสดชื่น แจ่มใส ผ่อนคลายจิตใจ

2. ด้านสังคม หากเป็นการนวดของคนในครอบครัว หรือสังคม มีส่วนสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ทำให้เกิดความเข้าใจ ความเอื้ออาทรรักใคร่ ในระหว่างการนวดมีการพูดคุย ช่วยผ่อนคลายลง นับเป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์ในครอบครัว และ สังคมอีกด้านหนึ่ง

การนวดเป็นศิลปะของการสัมผัสที่สร้างความรู้สึกอบอุ่น ผ่อนคลาย ทำให้เรารู้สึกสดชื่น คลายความเมื่อยล้า ทั้งร่างกายและจิตใจ